เชียงใหม่ รรท.ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าวสรุปคดีหญิงอายุ 63 ปีเสียชีวิตถูกไฟไหม้ภายในบ้านพักในพื้นที่ สภ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ณ ห้องประชุม ศปก.สภ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
วันที่ 24 ตุลาคม 2566 เวลา 11.00 น. พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รรท.ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ,พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,ผกก.สภ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว
การสรุปคดีในพื้นที่ สภ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตามที่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 13.00 น. ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับแจ้งจาก สถานีตำรวจภูธรแม่ริม ว่าพบศพผู้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ทราบภายหลังคือ นางยุพิน พงศ์จำรัส อายุ 63 ปี ลักษณะศพถูกไฟไหม้เกรียมบริเวณร่างกายและพบศพอยู่บริเวณติดกับกำแพงหลังบ้านพักของตนในพื้นที่สถานีตำรวจภูธรแม่ริม ภายหลังการสืบสวนสอบสวนพบร่องรอยและพยานหลักฐานปรากฏในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตว่าผู้เสียชีวิตได้ถูกหลอกลวงจากกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ให้โอนเงินเพื่อร่วมลงทุนและทำภารกิจโดยได้รับผลตอบแทนเป็นเงินจำนวนมากผิดปกติ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “MJINTONG” แต่ไม่ได้รับเงินตามที่ถูกหลอกลวง จนเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 5.2 ล้านบาท
ตามนโยบายของรัฐบาลมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติการณ์ในการใช้เทคโนโลยีหรือระบบอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชนทั่วไป พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.กฤตธาพลยี่สาคร รรท.ผบช.ภ.5 จึงได้สั่งการให้เร่งรัดทำการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนพร้อมกับให้นำตัวผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนทำการสืบสวนขยายผลและกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ริมให้ดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายผู้ร่วมกระทำความผิด ซึ่งเมื่อทำการสืบสวนสอบสวนพบว่า คดีดังกล่าวเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหาย (ผู้เสียชีวิต โอนเงินร่วมลงทุน, โอนเงินทำภารกิจเพื่อรับผลตอบแทนและโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษจากแพลตฟอร์มออนไลน์”MIJINTONG”(อาทิเช่น เติมเงินครั้งแรก 30,000 บาท รับรางวัล 899 บาท) และเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายลักษณะอย่างต่อเนื่องรวมทั้งยังมีการหลอกลวงและจูงใจให้ผู้เสียหายทำการชักชวนบุคคลอื่นให้มาร่วมลงทุน CYBER ในลักษณะแชร์ลูกโซ่เพื่อเลื่อนระดับชั้นของรหัสสมาชิก และได้รับค่าคอมมิชชั่นในจำนวนที่สูงขึ้น (ซึ่งไม่มีอยู่จริง) รวมถึงมีการโน้มน้าวใจให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มมากขึ้นเพื่อต่อรหัสสมาชิก และรับเงินกำไรที่ได้จากการลงทุนซึ่งถ้าหากไม่ทำการโอนเงินรหัสสมาชิกจะหมดอายุ โดยผู้เสียหายได้ถูกหลอกลวงในลักษณะเช่นนี้เรื่อยมา และหลงเชื่อจนต้องโอนเงินให้แก่กลุ่มคนร้าย จนกระทั่งมารู้ภายหลังว่าถูกหลอกลวง ซึ่งการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นการหลอกลวงในรูปแบบผสมผสานไม่ว่าจะทั้งการหลอกให้ร่วมลงทุน, หลอกให้ทำภารกิจ, หลอกให้หารายได้พิเศษ หรือแม้กระทั่งการหลอกลวงในลักษณะแชร์ลูกโซ่ซึ่งหากผู้เสียหายทำการชักชวนผู้อื่นมาลงทุนด้วยก็อาจเป็นเหตุให้ถูกหลอกลวงให้ตกเป็นผู้ต้องหาได้เช่นกัน และจากการสืบสวนพบว่าผู้เสียหายได้ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายในชั้นที่ 1 และเงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีชั้นที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 21 บัญชี มีผู้ต้องหา 21 ราย โดยแบ่งเป็นบัญชีชั้นที่ 1 จำนวน 10 บัญชี และเงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีชั้นที่ 2 จำนวน 11 บัญชี อีกทั้งยังมีเงินของผู้เสียหายบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีชั้นที่ 3 ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้กระทำความผิดที่ปรากฎทั้งหมด จำนวน 20 ราย ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย 1 ราย) ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ศาลจังหวัดเขียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดในคดีทั้งหมด ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนร่วมกันฟอกเงินและความผิดตามพระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” โดยผู้ต้องหาแบ่งเป็นกลุ่มบัญชีชั้นที่ 1 ประกอบไปด้วยคนไทย จำนวน 10 ราย, กลุ่มบัญชีชั้นที่ 2 ประกอบไปด้วยคนไทย จำนวน 7 ราย และคนต่างชาติ จำนวน 3 ราย รวมทั้งสิ้น จำนวน 20 ราย
และในวันนี้ (24 ตุลาคม 2566) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีมาทำการสืบสวนขยายผลและนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน 6ราย โดยแบ่งเป็น กลุ่มบัญชีชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นคนไทย จำนวน 3 ราย และกลุ่มบัญชีชั้นที่ 2 จำนวน 3 ราย (แบ่งเป็นคนไทย 2 ราย, คนต่างชาติ 1 ราย) ทั้งนี้ในส่วนของผู้ต้องหาตามหมายจับที่อยู่ระหว่างหลบหนีอีก 14 รายนั้น จะได้ดำเนินการระดมกำลังและติดตามจับกุมผู้ต้องหามาสืบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป